โรจา หัวหน้าทีมนักชำแหละ สังกัดทีมรอง หน่วย 5 กิลด์ [เขี้ยวประกายแสง]
"จะถามอีกครั้งเธอทำอะไรกับมีดเล่มนั้น"
"โอ๊ยยยย! เจ็บบบบบบ! ฉะ... อึก! ฉันไม่รู้!"
มันเอื้อมมือไปหยิบมีดออกมาอย่างยากลำบากแล้วกำไว้แน่นไม่ปล่อย ก่อนหันมองไปทั่วอย่างระแวง โดยเฉพาะด้านหลัง
ผมหยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดเข้าที่ขมับจนแตกด้วยสกิล
"โอ๊ยยยย!"
มันล้มลงนอนใช้มือกุมแผลที่หัว แผลที่หลังกับหัวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
เป็นสกิลรักษาที่ค่อนข้างโกง แต่ก็เป็นดาบสองคมเพราะผมสามารถทรมานมันได้เรื่อย ๆ จนมันยอมบอกไม่ก็เสียสติได้เลย
มันพยายามคลานไปที่กำแพงเพื่อปิดจุดบอดข้างหลัง
พวกประสบการณ์ต่อสู้น้อยอย่างมัน ชอบคิดกันไปเองว่าสกิลผมขึ้นอยู่กับมีดเท่านั้น
ต่อไปชำแหละตรงไหนดี
"ฉันไม่รู้เรื่องมีดบ้าอะไรนั่น! เลิกยุ่งกับฉันสักที!"
แล้วมันก็ทุบหมัดลงพื้นอย่างรุนแรง พื้นยุบลงก่อนดีดตัวขึ้น ส่วนผมแก้ทางด้วยการกระโดดขึ้นไปสูงหน่อย พอลงมาถึงพื้นพลังมันกระจายออกไปรอบด้านแล้ว
จัดการง่ายจนน่าเบื่อ ผมเปิดสกิล แทงมีดเข้าที่ต้นขาแล้วออกแรงเหวี่ยงมันใส่หน้าต่าง
เพล้ง!
ตัวมันทะลุกลิ้งเข้าไปในบ้านพร้อมกับเสียงครางเจ็บ
ผมหยิบดาบยาวออกมาจากมิติเก็บของ
เป็นดาบโบราณสีดำสนิทที่แม้แต่แสงก็ส่องหรือสะท้อนมันไม่ได้ ผมไม่ได้เปิดใช้งานความสามารถของมัน เพราะนังเด็กนี่ได้ตายก่อนผมรู้ความจริงเรื่องมีดแน่ แค่โดนฟันเพียงครั้งเดียว
ผมเปิดใช้สกิลกับดาบแล้วแทงลงไปในกำแพงบ้านก่อนวิ่งวน 1 รอบ
ด้วยสกิลของผมดาบจึงตัดผนังกับเสาบ้านที่ทำจากไม้หนาๆ ได้ราวกับหั่นเนยเหลว
และทันทีที่ผมถีบ บ้านทั้งหลังก็พังครืนล้มทับใส่มัน ผมวางมือแตะตัวบ้านแล้วเปิดใช้งานสกิลกับบ้านทั้งหลัง
"อย่าพึ่งตายไปก่อนล่ะ"
โครมมมมมมมมมมม!
หลังฝุ่นควันจางลง ซากบ้านตรงหน้ามีเลือดไหลนองออกมากองใหญ่
ผมเก็บดาบกลับเข้ามิติเก็บของ รอจังหวะสักพักแล้ววิ่งขึ้นไปบนซากพร้อมกับเปิดสกิลใส่มีด
แล้วก็ตามที่ผมคาด หลังรักษาตัวสักพักมันก็พังซากบ้านที่ทับมันอยู่ออกมา
ถ้าเป็นผมคงแกล้งตายแล้วรอจังหวะสวน แต่เพราะมันกังวลเรื่องน้อง มันจึงออกมา
ผมจ้วงแทงใส่หน้ากากไม้ ใบมีดทิ่มทะลุหน้ากากส่วนนั้นจนแตกเข้าไปในปาก
จากนั้นก็ตวัดมีดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว หน้ากากไม้แตกออกตามแนวที่ฟันและสร้างบาดแผลฉกรรจ์ตั้งแต่ปากไปจนถึงใบหูของมัน
ฉัวะ!
มันกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายเหมือนปลาขาดน้ำ ส่วนผมกระโดดถอยหลังออกมาพร้อมกับสังเกตเข้าไปในรอยแผล
"เขี้ยวสวยมาก แต่ทำไม มันช่างเหมือนเขี้ยวที่เอาไปทำมีดเล่มนั้น"
หลังคำชมไม่กี่วินาที กองทหารก็ตามมาจากเสียงกรีดร้องแล้วทำการล้อมนังเด็กนี่ไว้ทุกด้าน
ผมจึงเปลี่ยนแผน ไม่ลงมือโจมตีเอง แต่จะไปกระตุ้นให้มันใช้สกิลซัดกับทหารจนหมดพลัง
แล้วผมค่อยมาเก็บงานสบายๆ ทีหลังละกัน
ผมหยิบฟันเขี้ยวของน้องมันออกมาแล้วลอบเข้าไปกระซิบข้างหู
"สวยเหมือนฟันเขี้ยวของน้องแกที่ผมเลาะออกมาชิ้นนี้เลย"
พูดจบก็ปล่อยฟันเขี้ยวชิ้นนั้นลงไปตรงหน้าของมันแล้วรีบถอยออกมาวงนอก
กระตุ้นแค่ประโยคเดียวก็เกินพอ รอชุบมือเปิบตอนมันหมดแรง
แต่แล้วมันกลับเป็นความผิดพลาด ไม่นึกเลยว่าจะไปปลุกสัตว์ประหลาดขึ้นมา
*****
คาลิก้า เนฮิว
ฉันเอื้อมมือที่สั่นเทาไปหยิบฟันเขี้ยวขึ้นมาทั้งน้ำตา
ทหารรอบด้านพุ่งเข้ามากดคาลิก้าลงกับพื้น พวกมันทุบตีตามตัวก่อนจะใช้โซ่ล่ามเธอทั้งตัว
ทำไม
ทำไมถึงต้องทำร้ายครอบครัวฉันด้วย
พวกเราไปทำอะไรให้
เอลด้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก
ร่างกายเธออ่อนแอ
เธอทนการทารุณแบบนี้ไม่ไหวหรอก
แล้วทำไม
ถึงทำร้ายเธอได้ลงคอ
ทำไม!!!
"ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!"
[เงื่อนไขครบถ้วน ปลดล็อกสกิลสายเทคนิค]
[สกิล คำราม ทำงาน]
หลังสกิลทำงาน เสียงตะโกนของคาลิก้า เปลี่ยนเป็นเสียงคำรามดังไปไกลถึง 3 กิโลเมตร
ทหารทุกนายที่อยู่ใกล้คาลิก้าในรัศมี 1 กิโล ตาเหลือก สลบเหมือดลงไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ส่วนพวกที่อยู่ไกลกว่า 1 กิโล มีอาการปวดหัวรุนแรงจนทรุดลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย และไกลกว่านั้นมีอาการปวดหูจนต้องถอยหนีออกมาจากระยะเสียงคำรามของเธอ
ส่วนโรจาที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่คาดคิดมาก่อนว่าคาลิก้าจะคำรามได้ ก็เจออาการปวดหัวอย่างรุนแรงเล่นงานจนสกิลลอบเร้นถูกยกเลิก
มีทหารหลายคนเห็นตัวเขา เพื่อปิดบังตัวตน เขาจึงตัดสินใจปล่อยคาลิก้าไปก่อน แล้วหันมาฆ่าปิดปากพวกทหารทั้งหมดทิ้ง ไม่เว้นแม้แต่พวกที่นอนสลบอยู่
*****
คาลิก้า เนฮิว
[สกิล คำราม ระยะกว้างขึ้นตามระดับพละกำลังที่อัพไว้]
[สกิล คำราม รุนแรงขึ้นตามระดับความเสียหายที่อัพไว้]
[หากพละกำลังอัพเกินระดับ 5 ขึ้นไป การคำรามจะสร้างคลื่นกระแทก]
[คลื่นกระแทกรุนแรงตามระดับความเสียหายที่อัพไว้]
[หากความเสียหายอัพเกินระดับ 5 ขึ้นไป??? จะถูกปลดล็อก]
[??? จะทำงานเอง หลังใช้สกิล คำราม]
ฉันไม่สนใจหน้าต่างที่เด้งขึ้นมาอธิบายไม่หยุด ไม่สนใจแผลที่โรจาทำไว้จะกำลังหาย
ฉันใช้กำลังฉีกโซ่จนขาดกระจุยแล้วรีบวิ่งกลับไปที่สลัมอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแก้แค้นโรจา แต่มันคือเวลาที่เสียไปไม่ได้แม้แต่วินาทีในการช่วยเอลด้า
เอลด้าพี่ขอโทษ พี่จะไปช่วยแล้ว พี่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้
จากนี้ไปจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน ทำร้ายเธออีกแล้ว
จะไม่ยอมเด็ดขาด
หลังพังทุกอย่างเพื่อมุ่งหน้าเป็นเส้นตรง จนถึงเส้นทางหลักเข้าออกประตูเมือง ตามปกติควรจะเห็นทหารวิ่งอย่างเป็นระเบียบออกประตูเมืองไม่หยุด
แต่ตอนนี้ทหารทุกนายเดินออกมาตั้งแถวเป็นกำแพงยาวตั้งแต่ประตูออกนอกเมืองไปยันประตูเมืองชั้นใน แบบที่ไม่เหลือเส้นทางให้ใครเดินผ่าน
ด้านหลังมีอัศวินที่น่าจะเป็นจีเซ็น ฉันจำหน้าตาจากทหารสาวรอบตัว เพราะตอนนี้จีเซ็นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองอยู่บนหลังม้า
ทันทีที่เห็นฉันเขาก็ชักดาบชี้ใส่ ทหารสาวที่เห็นท่าทางของเขาก็ตะโกนออกคำสั่งแทน
"เป้าหมายอยู่ตรงนั้น! เด็กผมสีทองสวมหน้ากากไม้พังๆ! จับเป็นเท่านั้น! แต่อนุญาตให้ตัดแขนขาได้!"
ฉันไม่อยากเสียเวลาอีก จึงวิ่งเข้าไปตรงๆ
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วใช้สกิลคำรามออกมา
"ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!"
ทหารทุกตัวรวมไปถึงพวกจีเซ็นกับทหารสาวด้านหลัง ล้มทั้งยืนในทันที
เพราะอยู่บนม้าจีเซ็นที่ตกลงมาจึงเจ็บหนักกว่าคนอื่น อีกทั้งขายังโดนม้าทับจนหัก
และตอนที่ฉันกระโดดข้ามพวกทหารไป ตอนลงเท้าฉันก็เหยียบหน้ามันเข้าพอดี
หน้ากากแตกละเอียดทิ่มฝังลงไปในใบหน้ามัน
และตอนที่ฉันวิ่งไปข้างหน้า เสียงระเบิดกัมปนาทที่คุ้นเคยจากสนามรบด้านหน้าสุดก็ดังขึ้น
มันคือการโจมตีของดาวตก ที่แปลกคือมันระเบิดกลางอากาศ
จุดที่ระเบิดอยู่ใกล้กับแนวหน้าและอยู่ตรงกลางระหว่างทหารกับนักผจญภัย
รอบก่อนฉันไม่ได้ไปค้นหาแถวนั้นเลยเพราะเห็นทหารน้ำแข็งอยู่ใกล้ๆ จุดนั้น
ฉันจึงลองไปแถวนั้นดู
*****
ทีมล่าอสูรปลา
มีคำสั่งให้ค้นหาโดยไม่ให้ดับไฟ เพื่อจำกัดพื้นที่การบุกของมอนสเตอร์จากดันเจี้ยนทะเล
การค้นหาค่อนข้างล่าช้าเพราะทีมช่วยเหลือกำลังคนไม่พอ เลยต้องเปลี่ยนเป็นค้นหากับช่วยเหลือไปพร้อมกัน
แต่ไม่นานก็เจอเบาะแส จากกองเลือดสีแปลกๆ ที่ลากไปทั่วสนามรบ และเส้นทางที่เลือดผ่านไม่มีศพหรือชิ้นส่วนอวัยวะแม้แต่ชิ้นเดียว กระทั่งกองเลือดบนพื้นก็ยังไม่มี
หลังตามรอยเลือดไป คนนึงในกลุ่มก็เจอตัวประหลาดก้อนกลมดำทมิฬขยุกขยิกไม่หยุด
เขามองไปรอบตัวเพื่อดูว่ามีใครเห็นอีกมั้ย
เมื่อแน่ใจว่ามีแต่เขาที่เห็นมัน เขาก็ชักดาบออกมาหวังเคลมผลงานล่าอสูรไปคนเดียว
ตอนที่อสูรกำลังวิวัฒนาการ คือ ช่วงเวลาที่อ่อนแอและกำจัดง่ายที่สุด
นั่นคือสิ่งที่พวกนักผจญภัยระดับต่ำหรือไม่มีประสบการณ์การล่าอสูรมาก่อนรู้มา
เพราะมันมีข้อยกเว้นสำหรับรูปแบบกลายพันธุ์กับกระหาย
เขาแทงดาบสุดแรงใส่ก้อนกลมดำเพื่อหวังปลิดชีพมันในทีเดียว
ใบดาบเสียบทะลุเข้าไปจนมิดด้าม โลหิตสีแดงทะลักออกมา เขาหันไปส่งเสียงเรียกเพื่อให้ทุกคนได้ประจักษ์กับผลงาน
"เจอตัวแล้ว! ข้าฆ่ามันได้แล้วโว้ย! ไอ้พวกชักช้า! ฮ่าๆๆๆๆ"
เสียงตะโกนเรียกคนที่ได้ยินหันไปมอง คนที่ได้ยินก็ตะโกนต่อๆ กันไปจนทุกคนรับรู้และเริ่มวิ่งมารวมกัน
และคนนึงในกลุ่มที่เคยมีประสบการณ์ร่วมล่าอสูรกับกิลด์ใหญ่มาก่อน เมื่อเห็นอสูรที่คนนั้นกล่าวอ้าง เธอก็รีบตะโกนสุดเสียง
"นั่นมันซากเก่า! ทุกคนระวังตัว!"
เธอรีบยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมยิงพร้อมกับวิ่งไปหาคนกลุ่มใหญ่
"นี่แหละอสูร! มาไม่ทันเองก็อย่ามาหลอกคนอื่น!"
แต่เขาคนนั้นไม่ยอมฟัง คนอื่นจึงเข้าไปพิสูจน์โดยการยิงเวทไฟเผาให้ดู
หลังก้อนกลมถูกเผาจนไหม้สลายไป ความจริงก็ปรากฏ
ในก้อนกลมมีแต่ศพคนที่ตายแล้วอัดกองรวมกันอยู่
และโดยที่ไม่มีใครคาดคิดและตั้งตัวทัน
ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ไม่มีใครสนใจกลับขยับแขนขาและร่างกายออกมา
ก้อนหินก้อนนั้นกลายเป็นอสูรที่มีขนาดร่างกายเท่ากับเด็กวัยรุ่น ทั่วทั้งตัวถูกเคลือบด้วยชั้นหินหนาสีดำ
"ฮิฮิฮิ ไม่รู้ตัวกันเลยสินะ เจ้าอาหาร"
"ฆ่ามัน!"
ทุกคนต่างชักอาวุธแล้วเข้าโจมตีจากรอบทิศทาง
อาวุธขว้างพุ่งนำหน้าทุกคน แต่ไม่ว่าศร แส้ มีด หอกหรือเวทมนตร์บทใดก็ไม่อาจทะลวงเกราะหินของมันได้
อาวุธทุกชนิดล้วนกระเด้งออกตกลงไปข้างตัวมัน
"พวกปัญญาอ่อน โจมตีเบาแบบนั้นจะไปฆ่ามันได้ยังไง"
"ฮ่าๆๆๆๆ สุดท้ายข้าก็ต้องออกโรง"
"พวกกระจอกถอยหลังไป๊"
"พวกแกหมดหน้าที่แล้วกลับไปดูดนมแม่ซะไป อย่าได้หวังอะไรเกินตัว"
พวกระดับต่ำได้แต่กัดฟันอดทนกับคำด่า
โอกาสก็อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ถ้าไม่คว้าไว้นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าโง่
ขอแค่โจมตีจังๆ สักครั้ง โดยมีพยานรู้เห็น ก็เอาไปอ้างสร้างชื่อเสียงหาเงินทองได้แล้ว
จึงไม่มีใครคิดที่จะถอยกลับแม้แต่รายเดียว
"ตายซะไอ้อสูรโง่!"
คนแรกพุ่งเข้าโจมตีจากด้านหน้า กระโดดง้างขวานเพื่อจามใส่หัวโดยตรง
อสูรตัวนั้นยกมือขึ้นกัน ทำให้ผู้ใช้ขวานแสยะยิ้มที่เรียกร้องความสนใจมันได้
อีกสามคนในทีมอ้อมไปด้านหลังแล้วเข้าโจมตีพร้อมกันกับคนแรก
คนนึงแทบดาบใส่กลางหลังหากมันถอยหนี
และอีกสองคน คนนึงใช้โล่พุ่งกระแทกทางด้านขวา คนสุดท้ายใช้ค้อนยักษ์เล็งทุบไปที่ขาเพื่อให้มันล้มลง
โดยมีพวกระดับต่ำกับกลางรอซ้ำเติม
แต่อสูรตัวนั้นกลับแสยะยิ้มอย่างดูถูก แขนที่ยกขึ้นป้องกันเมื่อสักครู่กลับกางออกอย่างโอ้อวด
"พวกอาหารนี่มันโง่กันจริงๆ ฮิฮิฮิ"